วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประวัติและประโยชน์ของแก้วมังกร

        แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่นำพันธุ์มาจากประเทศเวียดนาม คน  เวียดนามเรียกว่า ธานห์ลอง กัมพูชาเรียกว่า สกราเนียะ มีชื่อสามัญว่า Dragon fruit ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hylocereus undatus (Haw) Britt. & Rose. ถิ่นกำเนินของแก้วมังกรอยู่ในทวีปอเมิรกากลาง 
แถบหมู่เกาะเวสต์อินดีส โคลอมเบีย กัวเตมาลา และเวเนซูเอล่า สันนิษฐานว่าแก้วมังกรเข้ามาในเอเชียโดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสที่นำพืชพันธุ์นี้มาจากอเมริการกลางมาปลูกในเวียดนามเป็นระยะเวาลาไม่น้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ ที่เวียดนามปลูกันมากจนชาวเวียดนามถือว่าเป็นผลไม้ท้องถิ่น มีการปลูกเป็นไม้ผลหลังบ้านและปลูกเป็นสวนขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ตามสภาพดินที่มีอยู บริเวณที่ปลูกกันมากคือ แถบชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองนาตรังทางเหนือลงไปทางใต้ถึงนครโฮจิมินห์


     ส่วนในเมืองไทยนั้น มีผู้นำแก้วมังกรเข้ามาปลูกเป็นเวลานานมากกว่ากึ่งศตวรราแล้ว แต่ไม่เป็นที่รู้จักเมื่อราว พ.ศ. 2534 เพิ่งมีการนำต้นพันธุ์ดีจากประเทศเวียดนามเข้ามาปลูกเพื่อเป็นผลไม้เศรษฐกิจแก้วมังกรเป็นไม้ในตระกูลกระบองเพชร ลำต้นเป็นแฉก 3 แฉก คล้ายครับมังกร มีหนามเป็นกระจุกอยู่ที่ตา 4-5 หนาม ลำต้นเดียว แผ่ก้านออกไปรอบ ๆ ต้องมีค้างคอยพยุง ดอกสีขาว เป็นรูปทรงกรวยขนาดใหญ่ มีกลีบยาวเรียวทับซ้อนกัน บานในเวลากลางคือ จึงมีชื่อเรียกว่า moonflower หรือ lady ot the night หรือ queen of the night ผลแก้วมังกรเมื่อดิบผิวเปลือกเป็นสีเขยว รูปทรงกลมรี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 6-10 ซม. มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตามเปลือกผล เมื่อสุกผิวเปลือกเปลี่ยนเปนสีแดงอมชมพู เนื้อในมีทั้งสีแดงและสีขาวขุ่น มีเมล็ดเล็ก ๆ สีดำคล้ายเมล็ดแมงลักกระจายทั่วทั้งผล ปลูกได้ทุกภาคทั่วประเทศ แต่แหล่งที่มีการปลูกมากอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรีและสมุทรสงคราม แก้วมังกรมีหลายพันธุ์ด้วยกัน ดังนี้ แก้วมังกรพันธุเนื้อขาวเปลือกแดง ผลทรงกลมรีผิวเปลือกสีชมพูสด มีกลีบสีเขียวตามผิวเปลือก เนื้อสีขาวมีเมล็ดสีดำแทรกอยู่ในเนื้อ รสชาติหวานนิด ๆ อมเปรี้ยวหน่อย ๆ บางผลก็หวานจัด แล้วแต่ลูก 
        แก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง เป็นพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาใหม่จากไต้หวัน ผลเป็นทรงกลม เปลือกสีแดงจัด ผลขนาดเล็กกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง เนื้อสีแดงจัด มีเมล็ดสีดำขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่ว รสชาติหวานกว่าพันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง
แก้วมังกรในประเทศไทยมีผลดกช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษศจิกายน แต่ก็มีผลประปรายตลอดทั้งปี
          แก้วมังกรนั้นมักกินเป็นผลไม้สด หรือกินรวมกับผลไม้อื่นเป็นฟรุตสลัด หรือนำไปปั่นเป็นน้ำแก้วมังกร เพราะเนื้อเยอะฉ่ำน้ำ รสหวานอ่อน ๆ อมเปรี้ยวนิด ๆ ส่วนแก้วมังกรแดงรสจะหวานจัดกว่าเล็กน้อย คุณค่าอาหารและสรรพคุณ ส่วนประกอบที่เป็นไฟเบอร์ ซึ่งมีปริมาณสูงมากในแก้วมังกร ช่วยบำรุงการทำงานของระบบขับถ่ายและในสายเส้นใย ส่วนเนื้อจะมีสารที่เรียกว่า Complex 
          นอกจากนี้แก้วมังกร ยังเป็นผลไม้ที่มีแร่ธาตุมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี ฟอสฟอรัส โปรตีน แคลเซียม ช่วยบำรุงสุขภาพผิว และระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคท้องผูก สร้างเสริมระบบการกำจัดของเสียของร่างกาย
          แก้วมังกร มีสารอาหารหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินซี และมีเส้นใย มีสรรพคุณช่วยลดโคเลสเตอรอล ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ลดความดันโลหิต ควบคุมน้ำหนัก แก้ท้องผูก ป้องกันมะเร็งสำไส้ใหญ่และช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น
          เมล็ดของแก้วมังกรที่มีลักษณะคล้ายเม็ดงาดำจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยดูดซับสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกายเป็นเหมือนยาสมุนไพรที่ช่วยดูดซับและขับเอาสารพิษออกจากร่างกาย แก้วมังกรยังมีคุณค่าทางอาหาร ป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งสำไส้ เสริมสร้างภูประโยชน์ของแก้วมังกร 
พืชพวกกระบองเพชรมีสารมิวซิเลจ (Mucilage) จำนวนมาก สารพวกนี้ คือ โปลี่แซคคาไรด์เชิงซ้อน ลักษณะคล้ายวุ้นเหลว หรือเยลลี่ ดูดน้ำ ช่วยคุมน้ำตาลกลูโคลในคนที่เป็นเบาหวาน โดยไม่พึ่งอินซูลิน สามารถลดไตรกลีเซอร์ไรด์ และคอเรสเตอรอล ชนิดความหนาแน่นในเลือดต่ำ นอกจากนี้ยังเพิ่มธาตุเหล็ก บรรเทาโรคโลหิตจาง ผลแก้วมังกรมีคุณค่าทางอาหาร มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตต่ำ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ และต่อมลูกหมาก เสริมสร้างภูมิต้านทานกระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อ 
          แก้วมังกร ปัจจุบันกลายเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ใช้บริโภคลดน้ำหนัก และเมื่อปากต่อปากบอกว่าได้รับประทานแล้วอิ่มลดน้ำหนักได้จริง ผลไม้ชนิดนี้จึงเริ่มเป็นที่นิยม และมีเกษตรกรในประเทศไทยปลูกกันมากขึ้น ทั้งที่รากเหง้าของไม้พันธุ์นี้จะเกิดและเติบโตเป็นพันธุ์แท้อยู่ที่ประเทศเวียดนาม ถือเป็นแหล่งปลูกแก้วมังกรที่มีมาช้านาน และคนเวียดนามจะรู้จักกันดี แก้วมังกรจึงเป็นผลไม้บริสุทธิ์ปลอดภัยจากสารพิษ มีกากใยสูง แคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินซี คลอโรฟิลล์ เมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว สามารถต่อต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น ทานแล้วนอกจากดับร้อน ผ่อนกระหาย ยังบำรุงสุขภาพผิวพรรณสดชื่น ในสุภาพสตรีจะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนม ใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพ และความงามได้เป็นอย่างดี แก้วมังกร ผลไม้พันธุ์ใหม่ รสชาติหวานกรอบอร่อย กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ต้นปลูกง่าย ให้ผลผลิตเร็ว ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ ได้ผลผลิตสูงให้ผลกำไรเร็ว ปลูกโดยไม่ต้องเลือกดิน ดูแลง่าย แม้แต่เด็กก็ดูแลได้ 
มิต้านทานให้แก่ร่างกาย 


 แก้วมังกรพันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง ผลเป็นรูปไข่ ขนาดเล็กกว่าทุกพันธุ์ เปลือกหนาสีเหลือง เนื้อสีขาว เมล็ดสีดำมีขนาดใหญ่และปริมาณน้อยกว่าพันธุ์อื่น ๆ รสชาติหวาน



     Polysaccharides เป็นตัวที่ช่วยลดการดูดซึมของไขมันประเภทไตรกลีเซอร์ไรด์ ช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด แก้วมังกร มีกากใยสูง แคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินซี คลอโรฟิลล์ เมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว สามารถต่อต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น

ทานแล้วนอกจากดับร้อน ผ่อนกระหาย ยังบำรุงสุขภาพผิวพรรณสดชื่น ในสุภาพสตรีจะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนม ใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพและความงามได้เป็นอย่างดี เป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน หรือควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ให้ปริมาณเนื้อเยอะ สามารถทานแล้วอิ่มท้อง อิ่มทน เรียกว่าสามารถกินแทนอาหารหนึ่งมื้อได้เลย อีกทั้งยังสามารถทานในปริมาณมากๆ ได้โดยไม่ทำให้อ้วน มีกากใยสูง แคลอรีต่ำ มีน้ำตาลน้อย นอกจากนี้เมล็ดของแก้วมังกรซึ่งเป็นสารคลอโรฟิลล์ อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว สามารถต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ทานแล้วช่วยบำรุงสุขภาพ ทำให้ผิวพรรณสดชื่น ดูมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่ง





วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

การปลูกแก้วมังกร




วิธีการปลูก  
1. ขั้นตอนการเตรียมเสา
      - ใช้ท่อใยหินกว้าง 4-6 นิ้ว สูง 1.5-2.0 เมตร (ตามความชอบและงบประมาณ ท่อละ 40-70 บาท)
      - นำท่อมาเจาะรูที่ปลาย 4 รู เพื่อใช้เหล็กเส้นสอดเข้าไป
      - ตัดเหล็กเส้นให้ได้ขนาดตามยางรถ ใช้เสาละ 2 เส้น
      - นำเหล็กเส้นสอดเข้าไป แล้วนำยางรถมาวาง ใช้ลวดมัดให้แน่นหนา แข็งแรง
2. ขั้นตอนการปลูก(ควรปลูกในฤดูฝน)
      - ขุดหลุมให้ได้ขนาด 60*60*60 เซนติเมตร
      - นำเสาที่เจาะรูแล้วใส่ลงไปในหลุม แล้วใช้ดินกลบเล็กน้อย
      - นำปุ๋ยคอกใส่ลงไปในหลุมจนเกือบเต็มหลุม
      - นำต้นแก้วมังกร 4-5 ต้น ปลูกรอบๆ โคนเสาแล้วใช้ดินกลบให้เต็มหลุม
      - ใช้เชือกหรือผ้ามัดต้นแก้วมังกรไว้เพื่อไม่ให้ล้มหรือหัก








วิธีการดูแลรักษาต้นแก้วมังกร
1. ขั้นตอนการดูและต้นแก้วมังกร ต้นแก้วมังกรเป็นต้นไม้ประเภทเดียวกันกับกระบองเพชร จึงไม่ชอบน้ำ ในฤดูหนาวและฤดูร้อนควรให้น้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนในฤดูฝนไม่ต้องให้น้ำเลย
          - การให้ปุ๋ย ควรให้ปุ๋ยปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ควรให้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 (ถ้าให้ปุ๋ยคอกรสชาติของแก้วมังกรจะออกหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ที่สำคัญผมชอบด้วย และดินจะไม่แน่น)
ครั้งที่ 2 ในช่วงเดือนมกราคมเป็นการบำรุงต้นให้สมบูรณ์ และใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสูตร 15-15-15 ครั้งที่ 3 ในช่วงเดือนเมษายนเป็นการเตรียมและเร่งให้ต้นแก้วมังกรออกดอกควรใช้ปุ๋ยสูตรที่มีตัวหลังเยอะหน่อย เช่น 15-17-18 หรือสูตร 10-10-40 เป็นต้น
          - ถ้าต้นแก้วมังกรออกยอดสูงพ้นเกิดเสานิดหน่อย ให้ใช้มือเด็ดปลายยอดทิ้ง เพื่อเป็นการทำให้แก้วมังกรแตกยอดออกมากๆ
          - หญ้าที่ขึ้นใกล้ๆ โคนต้น ควรถอนออกเป็นประจำ เพื่อให้ต้นแก้วมังกรได้รับอาหารเต็มที่ไม่ต้องแบ่งปันให้กับหญ้า
          - เมื่อครบ 2 ปี หลังจากต้นแก้วมังกรออกผลจนหมด ในช่วงเดือนตุลาคมควรตัดแแต่งกิ่งให้สวยงาม เพื่อเป็นการทำให้ต้นแก้วมังกรแตกกิ่งได้มาก และควรตัดทุกๆ 2 ปี



 ก้วมังกรที่ตัดแต่งกิ่งแล้วนำไปฝังบริเวณร่อง เพื่อเป็นปุ๋ยให้กับแก้วมังกรต่อไป



2. ขั้นตอนการเก็บผลผลิต
           - ต้องให้ผลแก้วมังกรมีสีแดงทั่วทั้งผล ซึ่งอายุของผลแก้วมังกรตั้งแต่ออกดอกจนเก็บผลได้ประมาณ 2 เดือน

           - เมื่อผลแก้วมังกรสุกเต็มที่แล้วให้ใช้กรรไกรตัดกิ่งตัดผลออกมาจากกิ่ง (อย่าให้กิ่งเสียหาย)





การขยายพันธุ์



วิธีการขยายพันธ์
           แก้วมังกรที่ง่ายและสะดวก คือการปักชำแต่มีเทคนิคที่สำคัญหลายประการคือ เกษตรกรต้องเลือกเฉพาะกิ่งที่แก่เท่านั้น  อย่าใช้กิ่งอ่อนเพราะจะเน่าเสียก่อน เมื่อได้กิ่งแก่มาปักชำส่วนใหญ่จะรอดตาย 100%กิ่งแก่ในแต่ละกิ่งสามารถตัดเป็นท่อนได้หลายท่อน ตัดให้มีความยาวประมาณ 12 ฟุต ก่อนที่จะปักชำให้เอาทางโคนปักลง (สังเกตจากทางโคนจะมีหนามตั้งขึ้น) ก่อนที่จะนำกิ่งมาปักชำ นั้น ควรจะนำกิ่งแก่มาจุ๋มในน้ำที่ผสมน้ำยาเร่งราก (ใช้น้ำยาเร่งรากในอัตราเข้มข้นกว่าปกติ)จุ๋มกิ่งแก้วมังกรลงไปในน้ำยาลึกประมาณ 10 ซม.แล้วนำมาตั้งเรียงไว้ในร่มเป็นเวลา 7-10 วัน จนกิ่งเริ่มเหี่ยว ตั้งกิ่งให้ตรง
สำหรับเกษตรกรที่เริ่มปลูกควรจะเลือกซื้อกิ่งประเภทนี้ที่ผ่านการแช่น้ำยาเร่งรากแล้ว เพราะจะสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุดและขนได้ครั้งละปริมาณมาก หลังจากได้กิ่งไปแล้วนำไปปักชำในแปลงเพาะที่เตรียมเอาไว้
สำหรับกิ่งประเภทที่นำลงถุงแล้วจะเคลื่อนย้ายค่อนข้างลำบากและขนได้ครั้งละปริมาณน้อยรวมถึงมีราคาที่แพงกว่าไม่เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ปลูกเป็นแปลงใหญ่
การเตรียมแปลงเพาะชำกิ่งหลังจากปรับพื้นที่ดินให้เรียบแล้วใส่ขี้เถ้าแกลบดำลงในแปลงให้มีความหนาประมาณ 1 คืบ ถ้าแปลงเพาะชำอยู่กลางแจ้งจะต้องมุงด้วยตาข่ายพรางแสงชนิด 60% จากนั้นนำกิ่งที่ชุบน้ำยาเร่งรากแล้วไปปักชำให้ลึกประมาณ 10 ซม รดน้ำ 2-3 วันต่อครั้งก็เพียงพอแล้ว ถ้ารดบ่อยเกินไปอาจจะทำให้เกิดปัญหากิ่งเน่าได้ หลังจากปักชำไปได้นานประมาณ 1 เดือนก็จะออกรากและนำไปปลูกในแปลงได้
วิธีการสังเกต 
ว่ากิ่งแก้วมังกรที่นำไปปักชำนั้นมีรากที่สมบูรณ์แล้วสังเกตได้ว่าจะมีการแตกยอดอ่อนออกมาใหม่ คัดเลือกเฉพาะกิ่งที่แตกยอดออกทยอยไปปลูก

วิธีปลูกแก้วมังกร
ในกระถางขั้นตอนแรกให้นำเสาไม้หรือเสาปูนที่เตรียมไว้ตั้งเป็นหลักลงในกระถางที่เตรียมไว้จากนั้นให้นำกากมะพร้าวใส่ลงในกระถางอัตราส่วน 1 ใน 3 ของกระถางจากนั้นให้นำดินผสมกับแกลบหรือกากมะพร้าวเทลงในกระถางจนถึงปากกระถาง นำต้นแก้วมังกรลงปลุกในกระถางให้ติดกับเสาจากนั้นให้นำเชือกมัดต้นแก้วมังกรและเสาติดกัน จากนั้นนำดินมากลบต้นแก้วมังกรให้เรียบร้อย ข้อควรระวังคือ ไม่ควรมัดต้นแก้วมังกรกับเสาให้แน่นจนเกินไป และควรนำด้านแบนผูกติดกับเสาเนื่องจากด้านแบนคือด้านที่จะออกราก